การเขียนตัวภาพไทย “พระ, นาง”
ผมรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
จากการที่ได้นำเสนอวิธีการเขียนหน้าภาพพระ นาง ยักษ์ ลิง แล้ว
สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ ท่าน หยิบดินสอกับกระดาษมาลองขีด ๆ เขียน ๆ ดูบ้าง
โดยเฉพาะพี่ "ฅนสยาม"
จากเอนทรี่นี้ครับ...
http://www.oknation.net/blog/khonsiam/2010/09/02/entry-2
ท่านที่ยังจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ ผมขอเรียนให้ทราบว่า ท่านลองเขียนดูเถอะครับ จะผิดหรือถูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความสุข สงบ จะบังเกิดขึ้นทันที เมื่อท่านได้ลากเส้นดินสออย่างช้า ๆ ลัดเลาะไปตามส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันในรูปหน้า จะเบี้ยวจะบูดบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เราไม่ได้เขียนรูปส่งครูเอาคะแนนนี่หน่า...
ภาพที่เราเขียนเสร็จแล้ว อาจจะไม่สวยถูกใจตามความคาดหวังหรือนึกคิดไว้แต่แรก แต่นั่นคือก้าวแรกที่จะทำให้เราได้ก้าวต่อไปเรื่อย ๆ พัฒนาการย่อมเติบโตขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเขียนก็ยิ่งเห็น ความปิติสุขก็ทวีคูณไปด้วยเช่นกันครับ
หลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วอ้ายความสุขที่ว่ามันเป็นอย่างไรฟร่ะ...
ก็ตอบได้ว่า “ความสุข”เกิดจากการที่เรามีใจจดจ่ออยู่กับงานเบื้องหน้า ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ
จนเกิดเป็นสมาธิ ไม่สนใจต่อสิ่งกระทบรอบข้าง เทียบเคียงกับทางพระที่เรียกว่า
“ปฐมญาน” นั่นแหล่ะครับ...http://www.oknation.net/blog/khonsiam/2010/09/02/entry-2
ท่านที่ยังจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ ผมขอเรียนให้ทราบว่า ท่านลองเขียนดูเถอะครับ จะผิดหรือถูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความสุข สงบ จะบังเกิดขึ้นทันที เมื่อท่านได้ลากเส้นดินสออย่างช้า ๆ ลัดเลาะไปตามส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันในรูปหน้า จะเบี้ยวจะบูดบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เราไม่ได้เขียนรูปส่งครูเอาคะแนนนี่หน่า...
ภาพที่เราเขียนเสร็จแล้ว อาจจะไม่สวยถูกใจตามความคาดหวังหรือนึกคิดไว้แต่แรก แต่นั่นคือก้าวแรกที่จะทำให้เราได้ก้าวต่อไปเรื่อย ๆ พัฒนาการย่อมเติบโตขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเขียนก็ยิ่งเห็น ความปิติสุขก็ทวีคูณไปด้วยเช่นกันครับ
ทีนี้ เราจะพักการเขียนสีไม้เอาไว้ก่อน แล้วมาเขียนภาพลายเส้นกันต่อน่ะครับ...
หลังจากที่เราได้เขียนศึกษาหน้าภาพพระ นาง ยักษ์ ลิง มาพอสมควรแล้ว ก็ลองมาเขียนภาพแบบเต็มตัวกันดูบ้าง หลักเกณฑ์วิธีการก็เหมือนกับการเขียนหน้าภาพ คือเราต้องคำนึงถึงความถูกต้องตามหลักกายวิภาค เขียนคนต้องมีกระดูก มิฉะนั้นจะเหมือนลูกโป่งพองลม

ภาพนี้เรียกว่า “ท่านั่งเมือง” ของตัวพระครับ วิธีการเขียนนั้นเราก็จะขึ้นโครงสร้างของภาพโดยรวม เพื่อกำหนดขอบเขตให้วางลงในหน้ากระดาษแล้วสวยงาม ไม่ใหญ่โตจนคับหน้ากระดาษ แล้วก็ไม่เล็กจนทำให้ดูว่าภาพนั้นโหรงเหรง เป็นการฝึกหัดจัดวางองคฺ์ประกอบภายในภาพไปด้วยในตัวครับ...
ถ้าจะกล่าวถึงการเทียบส่วนตามหลักทฤษฎีแล้ว ก็ดูจะยากเกินไปสำหรับผู้เริ่มต้น ดังนั้น เราจะใช้ความรู้สึกจากการกะระยะด้วยสายตาเป็นหลักก่อนครับ ว่าขนาดของร่างกายแต่ละส่วนมีึความแตกต่างกันอย่างไร ไล่ตั้งแต่ศีรษะลงมายังไหล่ หน้าอก เอว ช่วงขาท่อนบน - ล่าง แล้วค่อยต่อแขน ต่อเครื่องประดับศีรษะทีหลังก็ได้ครับ

ตรวจสอบดูว่าจากโครงร่างโดยรวม ที่เราขึ้นไว้หมดแล้วนั้น มีส่วนไหนที่ดูขัดตา ไม่สมประกอบ ไม่สง่างาม ก็ให้ดำเนินการแก้ไขในขั้นตอนนี้ จากนั้นก็ใส่รายละเอียดต่าง ๆ ลงไป อาทิเช่น ชฎา กรรเจียกจร กรองศอ อินทรธนู พาหุรัด (กำไลแขน) สังวาลย์ ทับทรวง ฯลฯ

ขั้นตอนสุดท้าย คือการเก็บรายละเอียดโดยการคัดเส้นหนักเส้นเบา มีข้อควรระวังคือ “อย่าเขียนเส้นหนักเส้นเบา ด้วยการลากเส้นเพียงครั้งเดียว” มิฉะนั้นจะกลายเป็น “เส้นลวด” ที่ดูแล้วแข็งกระด้าง ทำให้ขาดความงามไป เราควรเขียนโดยการลงน้ำหนักซ้ำ ๆ ไปบนเส้น จนได้ตามความต้องการ อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ควรลบเส้นร่างทิ้งไปครับ
ในรายละเอียดของเสื้อผ้า เครื่องประดับ ยังไม่ต้องใส่ครับ พักไว้เพียงเท่านี้ก่อน เพราะว่าเราต้องการที่จะศึกษาถึงโครงสร้างตัวภาพ ลักษณะท่าทาง อากัปกิริยาต่าง ๆ ตามแบบอย่างอุดมคติของช่างไทยโบราณ ที่ได้กระทำสืบต่อกันมาเรียกว่า เป็นแบบประเพณีครับ

ต่อมาเป็นตัวภาพตัวนาง ท่านั่งพับเพียบท้าวแขน อันเป็นท่าของกุลสตรีไทย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามตามแบบฉบับ ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจนติดเป็นนิสัยประจำตัว วิธีการขึ้นโครงร่างตัวภาพ การใส่รายละเอียด และการเก็บรายละเอียด ก็ใช้วิธีการเดียวกันกับการเขียนตัวพระที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นครับ...

ใส่รายละเอียด

เก็บรายละเอียด

แถมท้ายด้วยตัวพระท่านั่งพนมมือ ภาพนี้จะพบเห็นโดยทั่วไปในจิตรกรรมฝาผนัง โดยเฉพาะผนังด้านข้างซ้าย - ขวาของพระประธาน ที่เรียกว่า “เทพชุมนุม”

พระแม่ธรณีบีบมวยผม
ในผนังด้านหน้าพระประธานตอน “มารผจญ” พบเห็นได้ตามวัดต่าง ๆ จะมีทั้งที่เป็นภาพในท่านั่งและยืนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น