การเขียนตัวภาพไทย “พระ, นาง”
ผมรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
จากการที่ได้นำเสนอวิธีการเขียนหน้าภาพพระ นาง ยักษ์ ลิง แล้ว
สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ ท่าน หยิบดินสอกับกระดาษมาลองขีด ๆ เขียน ๆ ดูบ้าง
โดยเฉพาะพี่ "ฅนสยาม"
จากเอนทรี่นี้ครับ...
http://www.oknation.net/blog/khonsiam/2010/09/02/entry-2
ท่านที่ยังจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ ผมขอเรียนให้ทราบว่า ท่านลองเขียนดูเถอะครับ จะผิดหรือถูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความสุข สงบ จะบังเกิดขึ้นทันที เมื่อท่านได้ลากเส้นดินสออย่างช้า ๆ ลัดเลาะไปตามส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันในรูปหน้า จะเบี้ยวจะบูดบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เราไม่ได้เขียนรูปส่งครูเอาคะแนนนี่หน่า...
ภาพที่เราเขียนเสร็จแล้ว อาจจะไม่สวยถูกใจตามความคาดหวังหรือนึกคิดไว้แต่แรก แต่นั่นคือก้าวแรกที่จะทำให้เราได้ก้าวต่อไปเรื่อย ๆ พัฒนาการย่อมเติบโตขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเขียนก็ยิ่งเห็น ความปิติสุขก็ทวีคูณไปด้วยเช่นกันครับ
หลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วอ้ายความสุขที่ว่ามันเป็นอย่างไรฟร่ะ...
ก็ตอบได้ว่า “ความสุข”เกิดจากการที่เรามีใจจดจ่ออยู่กับงานเบื้องหน้า ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ
จนเกิดเป็นสมาธิ ไม่สนใจต่อสิ่งกระทบรอบข้าง เทียบเคียงกับทางพระที่เรียกว่า
“ปฐมญาน” นั่นแหล่ะครับ...http://www.oknation.net/blog/khonsiam/2010/09/02/entry-2
ท่านที่ยังจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ ผมขอเรียนให้ทราบว่า ท่านลองเขียนดูเถอะครับ จะผิดหรือถูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความสุข สงบ จะบังเกิดขึ้นทันที เมื่อท่านได้ลากเส้นดินสออย่างช้า ๆ ลัดเลาะไปตามส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันในรูปหน้า จะเบี้ยวจะบูดบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เราไม่ได้เขียนรูปส่งครูเอาคะแนนนี่หน่า...
ภาพที่เราเขียนเสร็จแล้ว อาจจะไม่สวยถูกใจตามความคาดหวังหรือนึกคิดไว้แต่แรก แต่นั่นคือก้าวแรกที่จะทำให้เราได้ก้าวต่อไปเรื่อย ๆ พัฒนาการย่อมเติบโตขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเขียนก็ยิ่งเห็น ความปิติสุขก็ทวีคูณไปด้วยเช่นกันครับ
ทีนี้ เราจะพักการเขียนสีไม้เอาไว้ก่อน แล้วมาเขียนภาพลายเส้นกันต่อน่ะครับ...
หลังจากที่เราได้เขียนศึกษาหน้าภาพพระ นาง ยักษ์ ลิง มาพอสมควรแล้ว ก็ลองมาเขียนภาพแบบเต็มตัวกันดูบ้าง หลักเกณฑ์วิธีการก็เหมือนกับการเขียนหน้าภาพ คือเราต้องคำนึงถึงความถูกต้องตามหลักกายวิภาค เขียนคนต้องมีกระดูก มิฉะนั้นจะเหมือนลูกโป่งพองลม

ภาพนี้เรียกว่า “ท่านั่งเมือง” ของตัวพระครับ วิธีการเขียนนั้นเราก็จะขึ้นโครงสร้างของภาพโดยรวม เพื่อกำหนดขอบเขตให้วางลงในหน้ากระดาษแล้วสวยงาม ไม่ใหญ่โตจนคับหน้ากระดาษ แล้วก็ไม่เล็กจนทำให้ดูว่าภาพนั้นโหรงเหรง เป็นการฝึกหัดจัดวางองคฺ์ประกอบภายในภาพไปด้วยในตัวครับ...
ถ้าจะกล่าวถึงการเทียบส่วนตามหลักทฤษฎีแล้ว ก็ดูจะยากเกินไปสำหรับผู้เริ่มต้น ดังนั้น เราจะใช้ความรู้สึกจากการกะระยะด้วยสายตาเป็นหลักก่อนครับ ว่าขนาดของร่างกายแต่ละส่วนมีึความแตกต่างกันอย่างไร ไล่ตั้งแต่ศีรษะลงมายังไหล่ หน้าอก เอว ช่วงขาท่อนบน - ล่าง แล้วค่อยต่อแขน ต่อเครื่องประดับศีรษะทีหลังก็ได้ครับ

ตรวจสอบดูว่าจากโครงร่างโดยรวม ที่เราขึ้นไว้หมดแล้วนั้น มีส่วนไหนที่ดูขัดตา ไม่สมประกอบ ไม่สง่างาม ก็ให้ดำเนินการแก้ไขในขั้นตอนนี้ จากนั้นก็ใส่รายละเอียดต่าง ๆ ลงไป อาทิเช่น ชฎา กรรเจียกจร กรองศอ อินทรธนู พาหุรัด (กำไลแขน) สังวาลย์ ทับทรวง ฯลฯ

ขั้นตอนสุดท้าย คือการเก็บรายละเอียดโดยการคัดเส้นหนักเส้นเบา มีข้อควรระวังคือ “อย่าเขียนเส้นหนักเส้นเบา ด้วยการลากเส้นเพียงครั้งเดียว” มิฉะนั้นจะกลายเป็น “เส้นลวด” ที่ดูแล้วแข็งกระด้าง ทำให้ขาดความงามไป เราควรเขียนโดยการลงน้ำหนักซ้ำ ๆ ไปบนเส้น จนได้ตามความต้องการ อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ควรลบเส้นร่างทิ้งไปครับ
ในรายละเอียดของเสื้อผ้า เครื่องประดับ ยังไม่ต้องใส่ครับ พักไว้เพียงเท่านี้ก่อน เพราะว่าเราต้องการที่จะศึกษาถึงโครงสร้างตัวภาพ ลักษณะท่าทาง อากัปกิริยาต่าง ๆ ตามแบบอย่างอุดมคติของช่างไทยโบราณ ที่ได้กระทำสืบต่อกันมาเรียกว่า เป็นแบบประเพณีครับ

ต่อมาเป็นตัวภาพตัวนาง ท่านั่งพับเพียบท้าวแขน อันเป็นท่าของกุลสตรีไทย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามตามแบบฉบับ ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจนติดเป็นนิสัยประจำตัว วิธีการขึ้นโครงร่างตัวภาพ การใส่รายละเอียด และการเก็บรายละเอียด ก็ใช้วิธีการเดียวกันกับการเขียนตัวพระที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นครับ...

ใส่รายละเอียด

เก็บรายละเอียด

แถมท้ายด้วยตัวพระท่านั่งพนมมือ ภาพนี้จะพบเห็นโดยทั่วไปในจิตรกรรมฝาผนัง โดยเฉพาะผนังด้านข้างซ้าย - ขวาของพระประธาน ที่เรียกว่า “เทพชุมนุม”

พระแม่ธรณีบีบมวยผม
ในผนังด้านหน้าพระประธานตอน “มารผจญ” พบเห็นได้ตามวัดต่าง ๆ จะมีทั้งที่เป็นภาพในท่านั่งและยืนครับ
การเขียนหน้าภาพ “นางกับยักษ์”
ภาพนาง ได้แก่
ภาพตัวนางเอกของเรื่อง รวมทั้งนางชั้นลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ
ตลอดจนเทวีนางอัปสรแห่งสรวงสวรรค์ ภาพนางมีความอ่อนช้อยปานดอกไม้ไหว
ตามลักษณะของสตรีเพศ
พร้อมกับแฝงด้วยความสวยงามน่าเอ็นดู
หากเราได้ชมภาพจิตรกรรมฝาผนัง หรืองานช่างเขียนไทยในแบบอื่น ๆ อาจจะแยกแยะได้ยาก เนื่องจาก “หน้านาง” ที่ช่างเขียนไทยโบราณได้ถ่ายทอดออกมา เป็นแบบอุดมคติแล้วนั้น จะมีความใกล้เคียงกับหน้าภาพตัวพระเป็นอย่างมาก
เพราะฉะนั้นโครงสร้างตามหลักกายวิภาค ที่เราจะเขียนนั้นก็ควรแสดงออกถึงสรีระชาย - หญิง ให้ชัดเจน คือ หน้าไม่ควรจะยาวจนเกินไป ดั่งที่ช่างเขียนไทยโบราณกล่าวไว้ว่า การเขียนหน้านางให้เขียนให้เหมือนทรง “ผลมะตูม” (ชนิดทำยา)
การเขียนมงกุฎหรือชฎา ความสูงของมงกุฎไม่ควรเกิน ๒ เท่าของใบหน้า และหน้านางต้องเขียนกรอบหน้าหรือกระบังหน้าก่อน จึงจะสวมมงกุฎทับ ส่วนประกอบในรูปหน้าอันได้แก่ คิ้ว ตา หู จมูก ปาก หากเราเขียนออกมาได้ดั่งบทชมโฉมตามขนบวรรณคดีไทย เช่นคำที่ขีดเส้นใต้ ก็จะสุดยอดมากเลยครับ...
เจ้างามพักตร์ผ่องเพียงบุหลันฉาย เจ้างามเนตร์ประหนึ่งนัยนาทราย
เจ้างามขนงก่งละม้ายคันศรทรง เจ้างามนาสายลดังกลขอ
เจ้างามสอเหมือนคอสุวรรณหงส์ เจ้างามกรรณกลกลีบบุษบง
เจ้างามวงวิลาสเรียบระเบียบไร เจ้างามปรางเปล่งปลั่งเปรมปราโมทย์
เจ้างามโอษฐแย้มยวนจิตร์น่าพิสมัย เจ้างามทนต์กลนิลช่างเจียรไน...
จากส่วนหนึ่งของ กลบทบัวบานกลีบขยาย เป็นบทกลอนพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จารึกไว้ในวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) ดังที่รู้จักกันว่าจารึกวัดโพธิ์...
ส่วนการจัดท่าทางของ “ภาพนาง” ที่จัดว่างามมีอยู่ ๒ ลักษณะ กล่าวคือ ท่าลีลา (เดิน) และท่านั่ง (พับเพียบท้าวแขน) อันเป็นท่าของกุลสตรีไทย แสดงให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงาม ตามแบบฉบับที่ได้รับการอบรมสั่งสอน จนติดเป็นนิสัยประจำตัว
ภาพหน้านาง จะเขียนด้านเฉียง หรือหน้าเพล่ เสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนด้านข้างยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง สำหรับด้านตรงนั้นแทบจะไม่มีเลยครับ ทีนี้เราก็มาลองดูกันสิว่า จะเขียนภาพหน้านางกันอย่างไร ให้ออกมาได้ดั่งบทชมโฉมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ภาพนี้ผมเขียนคัดลอกจากจิตรกรรมฝาผนัง ในพระที่นั่งพุทไธยสวรรค์ กรุงเทพฯ

๑. ร่างรูปใบหน้าให้เหมือนทรงผลมะตูม (เด็กบางคนตีความจากบทกลอนผิด เขียนหน้ากลมเป็นพระจันทร์เลยครับ อิ อิ...) จากนั้นก็ลากเส้นเพื้อกำหนดส่วนประกอบในใบหน้า ตั้งแต่คิ้ว ตา หู จมูก ปาก จนถึงคาง

๒. ร่างส่วนประกอบต่าง ๆ บนใบหน้า แต่เพียงเบา ๆ ให้พอเห็นเท่านั้น (ขอย้ำ ขอย้ำ และขอย้ำ) แล้วตรวจสอบดูว่าตำแหน่งที่เราวางไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ หากได้สัดส่วนดีแล้ว เราก็จะแก้ไขแต่ละส่วนให้ได้ตามบทกลอนกันเลยครับ...

๓. เริ่มเก็บรายละเอียดจากคิ้ว ให้โก่งดังคันศร ไล่ลงมาที่จมูกเหมือน “กลขอ ?” (แปลไม่ออกอ่ะครับ) ดวงตางดงามดั่งเนื้อทราย ปากเป็นกระจับแย้ม (อม) ยิ้มชวนฝัน หูน้องนางละม้ายกลีบบัว เสร็จแล้วเราก็จะได้ภาพรวมออกมาเป็นเช่นนี้แหล่ะครับ...
ภาพต่อมา ผมเขียนคัดลอกจากแบบของ อ.จักรพันธ์ โปษยกฤต เพื่อให้เด็กเขาได้เปรียบเทียบแบบมีเครื่องประดับกับไม่มี ขั้นตอนการเขียนมีวิธีการและขั้นตอนแบบเดียวกัน แต่แบบที่สองมีรายละเอียดมากกว่าครับ...



บทเรียนต่อไป เราก็มาเขียนภาพยักษ์กันเลยครับ...
ลักษณะของภาพยักษ์นั้น จะต้องมีความดุร้าย โหดเหี้ยม ทารุณ เมื่อเป็นเช่นนี้ การกำหนดหน้าภาพยักษ์ จะต้องมีลักษณะภาพที่ปากยื่น เขี้ยวยาว ตาถลน ท่าทางจะเอาชีวิตท่าเดียว
ยักษ์ตามอุดมคติไทย จะเป็นผู้ร้ายส่วนใหญ่ มียักษ์บางตนที่เป็นยักษ์ใจดี ยักษ์ถือศีลในทำนองผู้ร้ายใจดี ตลอดจนยักษ์ที่เป็นเสมือนเทพยดาอารักษ์ เช่น ท้าววิรุฬหก
อาจารย์ขุนศรีศราหัตถ์ อดีตอาจารย์โรงเรียนเพาะช่าง ให้ทรรศนะการเขียนภาพยักษ์ว่า หน้ายักษ์ที่สวยต้องมีคางกลม มีไพรเหงือก (หนวด ริมฝีปาก) ได้ระดับกับหางคิ้ว และมีใบหน้าเชิดอย่างสง่างาม เรื่องการแสดงออกตามวัยหรืออายุของยักษ์แต่ละตนว่า...
“ปูนแก่ควรมีเขี้ยวโง้งมากและทู่”
“ปูนกลางควรมีเขี้ยวโค้งอย่างงดงามและปลายแหลม”
“ปูนอ่อนควรมีเขี้ยวปักลงตรง ๆ และปลายแหลม อย่างภาพอินทรชิต เป็นต้น”

๑. ขึ้นโครงร่างรูปหน้าทรงสี่เหลี่ยม กำหนดส่วนของคิ้ว ตา หู จมูก ปาก รวมทั้งส่วนประกอบอื่น จำพวกเครื่องประดับต่าง ๆ เวลาที่เราเขียนจะช่วยในการเปรียบเทียบได้เป็นอย่างดี ภาพนี้เป็นหน้ายักษ์ด้านข้าง ปากแสยะตาโพลงครับ...

๒. เก็บรายละเอียดแต่ละส่วน โดยคำนึงถึงความงาม ความถูกต้องในการเขียนภาพยักษ์ ภาพนี้ผมเขียนคัดลอกจากจิตรกรรมฝาผนังวัดพระแก้วครับ

๓. หน้ายักษ์ด้านเฉียง ปากแสยะตาจรเข้ วิธีการเขียนเหมือนกันกับภาพข้างบนนี้

๔. เป็นภาพที่ผมเขียนคัดลอกจากตู้พระธรรม งานลายรดน้ำครับ...

๕. ดูกันให้ชัด ๆ อีกครั้ง ถึงวิธีการขึ้นโครงร่างครั้งแรก

๖. ร่างรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ตรวจสอบแก้ไขให้ถูกต้อง ก่อนที่จะเก็บรายละเอียดในขั้นตอนสุดท้าย

สุดท้ายจริง ๆ...เป็นลายกระหนกจอนหูยักษ์ ที่ผมเขียนจากแบบในหัวโขน นำมาให้ลองฝึกมือกันดูครับ...
หากเราได้ชมภาพจิตรกรรมฝาผนัง หรืองานช่างเขียนไทยในแบบอื่น ๆ อาจจะแยกแยะได้ยาก เนื่องจาก “หน้านาง” ที่ช่างเขียนไทยโบราณได้ถ่ายทอดออกมา เป็นแบบอุดมคติแล้วนั้น จะมีความใกล้เคียงกับหน้าภาพตัวพระเป็นอย่างมาก
เพราะฉะนั้นโครงสร้างตามหลักกายวิภาค ที่เราจะเขียนนั้นก็ควรแสดงออกถึงสรีระชาย - หญิง ให้ชัดเจน คือ หน้าไม่ควรจะยาวจนเกินไป ดั่งที่ช่างเขียนไทยโบราณกล่าวไว้ว่า การเขียนหน้านางให้เขียนให้เหมือนทรง “ผลมะตูม” (ชนิดทำยา)
การเขียนมงกุฎหรือชฎา ความสูงของมงกุฎไม่ควรเกิน ๒ เท่าของใบหน้า และหน้านางต้องเขียนกรอบหน้าหรือกระบังหน้าก่อน จึงจะสวมมงกุฎทับ ส่วนประกอบในรูปหน้าอันได้แก่ คิ้ว ตา หู จมูก ปาก หากเราเขียนออกมาได้ดั่งบทชมโฉมตามขนบวรรณคดีไทย เช่นคำที่ขีดเส้นใต้ ก็จะสุดยอดมากเลยครับ...
เจ้างามพักตร์ผ่องเพียงบุหลันฉาย เจ้างามเนตร์ประหนึ่งนัยนาทราย
เจ้างามขนงก่งละม้ายคันศรทรง เจ้างามนาสายลดังกลขอ
เจ้างามสอเหมือนคอสุวรรณหงส์ เจ้างามกรรณกลกลีบบุษบง
เจ้างามวงวิลาสเรียบระเบียบไร เจ้างามปรางเปล่งปลั่งเปรมปราโมทย์
เจ้างามโอษฐแย้มยวนจิตร์น่าพิสมัย เจ้างามทนต์กลนิลช่างเจียรไน...
จากส่วนหนึ่งของ กลบทบัวบานกลีบขยาย เป็นบทกลอนพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จารึกไว้ในวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) ดังที่รู้จักกันว่าจารึกวัดโพธิ์...
ส่วนการจัดท่าทางของ “ภาพนาง” ที่จัดว่างามมีอยู่ ๒ ลักษณะ กล่าวคือ ท่าลีลา (เดิน) และท่านั่ง (พับเพียบท้าวแขน) อันเป็นท่าของกุลสตรีไทย แสดงให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงาม ตามแบบฉบับที่ได้รับการอบรมสั่งสอน จนติดเป็นนิสัยประจำตัว
ภาพหน้านาง จะเขียนด้านเฉียง หรือหน้าเพล่ เสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนด้านข้างยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง สำหรับด้านตรงนั้นแทบจะไม่มีเลยครับ ทีนี้เราก็มาลองดูกันสิว่า จะเขียนภาพหน้านางกันอย่างไร ให้ออกมาได้ดั่งบทชมโฉมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ภาพนี้ผมเขียนคัดลอกจากจิตรกรรมฝาผนัง ในพระที่นั่งพุทไธยสวรรค์ กรุงเทพฯ

๑. ร่างรูปใบหน้าให้เหมือนทรงผลมะตูม (เด็กบางคนตีความจากบทกลอนผิด เขียนหน้ากลมเป็นพระจันทร์เลยครับ อิ อิ...) จากนั้นก็ลากเส้นเพื้อกำหนดส่วนประกอบในใบหน้า ตั้งแต่คิ้ว ตา หู จมูก ปาก จนถึงคาง

๒. ร่างส่วนประกอบต่าง ๆ บนใบหน้า แต่เพียงเบา ๆ ให้พอเห็นเท่านั้น (ขอย้ำ ขอย้ำ และขอย้ำ) แล้วตรวจสอบดูว่าตำแหน่งที่เราวางไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ หากได้สัดส่วนดีแล้ว เราก็จะแก้ไขแต่ละส่วนให้ได้ตามบทกลอนกันเลยครับ...

๓. เริ่มเก็บรายละเอียดจากคิ้ว ให้โก่งดังคันศร ไล่ลงมาที่จมูกเหมือน “กลขอ ?” (แปลไม่ออกอ่ะครับ) ดวงตางดงามดั่งเนื้อทราย ปากเป็นกระจับแย้ม (อม) ยิ้มชวนฝัน หูน้องนางละม้ายกลีบบัว เสร็จแล้วเราก็จะได้ภาพรวมออกมาเป็นเช่นนี้แหล่ะครับ...
ภาพต่อมา ผมเขียนคัดลอกจากแบบของ อ.จักรพันธ์ โปษยกฤต เพื่อให้เด็กเขาได้เปรียบเทียบแบบมีเครื่องประดับกับไม่มี ขั้นตอนการเขียนมีวิธีการและขั้นตอนแบบเดียวกัน แต่แบบที่สองมีรายละเอียดมากกว่าครับ...



บทเรียนต่อไป เราก็มาเขียนภาพยักษ์กันเลยครับ...
ลักษณะของภาพยักษ์นั้น จะต้องมีความดุร้าย โหดเหี้ยม ทารุณ เมื่อเป็นเช่นนี้ การกำหนดหน้าภาพยักษ์ จะต้องมีลักษณะภาพที่ปากยื่น เขี้ยวยาว ตาถลน ท่าทางจะเอาชีวิตท่าเดียว
ยักษ์ตามอุดมคติไทย จะเป็นผู้ร้ายส่วนใหญ่ มียักษ์บางตนที่เป็นยักษ์ใจดี ยักษ์ถือศีลในทำนองผู้ร้ายใจดี ตลอดจนยักษ์ที่เป็นเสมือนเทพยดาอารักษ์ เช่น ท้าววิรุฬหก
อาจารย์ขุนศรีศราหัตถ์ อดีตอาจารย์โรงเรียนเพาะช่าง ให้ทรรศนะการเขียนภาพยักษ์ว่า หน้ายักษ์ที่สวยต้องมีคางกลม มีไพรเหงือก (หนวด ริมฝีปาก) ได้ระดับกับหางคิ้ว และมีใบหน้าเชิดอย่างสง่างาม เรื่องการแสดงออกตามวัยหรืออายุของยักษ์แต่ละตนว่า...
“ปูนแก่ควรมีเขี้ยวโง้งมากและทู่”
“ปูนกลางควรมีเขี้ยวโค้งอย่างงดงามและปลายแหลม”
“ปูนอ่อนควรมีเขี้ยวปักลงตรง ๆ และปลายแหลม อย่างภาพอินทรชิต เป็นต้น”

๑. ขึ้นโครงร่างรูปหน้าทรงสี่เหลี่ยม กำหนดส่วนของคิ้ว ตา หู จมูก ปาก รวมทั้งส่วนประกอบอื่น จำพวกเครื่องประดับต่าง ๆ เวลาที่เราเขียนจะช่วยในการเปรียบเทียบได้เป็นอย่างดี ภาพนี้เป็นหน้ายักษ์ด้านข้าง ปากแสยะตาโพลงครับ...

๒. เก็บรายละเอียดแต่ละส่วน โดยคำนึงถึงความงาม ความถูกต้องในการเขียนภาพยักษ์ ภาพนี้ผมเขียนคัดลอกจากจิตรกรรมฝาผนังวัดพระแก้วครับ

๓. หน้ายักษ์ด้านเฉียง ปากแสยะตาจรเข้ วิธีการเขียนเหมือนกันกับภาพข้างบนนี้

๔. เป็นภาพที่ผมเขียนคัดลอกจากตู้พระธรรม งานลายรดน้ำครับ...

๕. ดูกันให้ชัด ๆ อีกครั้ง ถึงวิธีการขึ้นโครงร่างครั้งแรก

๖. ร่างรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ตรวจสอบแก้ไขให้ถูกต้อง ก่อนที่จะเก็บรายละเอียดในขั้นตอนสุดท้าย

สุดท้ายจริง ๆ...เป็นลายกระหนกจอนหูยักษ์ ที่ผมเขียนจากแบบในหัวโขน นำมาให้ลองฝึกมือกันดูครับ...
การเขียนหน้าภาพ “พระกับลิง”
ลูกศิษย์เขาบอกกับผมว่า จาก entry “การลงสี-ตัดเส้น...ช่อลายกระหนก” ในคราวก่อนทำให้เขาปฏิบัติงานได้ง่ายขึ้น เนื่องจากหากเกิดข้อสงสัยตรงไหน ก็เข้ามาดูได้ตลอดเวลา นับได้ว่าเป็นการใช้บล็อกเพื่อการศึกษาที่ได้ผลจริง ๆ ครับ...^_^
ช่วงนี้ปลายปีงบประมาณ บรรดาโครงการของงานต่าง ๆ ภายในฝ่ายที่ยังไม่ได้ดำเนินการ ก็ต้องเร่งกระตุ้นให้บรรลุผลตามที่กำหนดไว้ “งานบริหาร” จึงมีบทบาทมากกว่า “งานสอน” จนลูกศิษย์เขาแซวเอาว่า “ครูประชุมเป็นงานหลัก สอนศิษย์เป็นงานรอง”
การสอนศิลปะในรายวิชาปฏิบัตินั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนจะต้องทำการ “สาธิต” เพื่อให้เด็กเห็นวิธีการเขียนตั้งแต่ต้นจนจบ และคอยชี้แนะแก้ไขให้เป็นรายบุคคล หากปล่อยเด็กให้ไปสืบค้นหาแบบเขียนกันเอง หรือแจกใบงานอย่างเดียว เขาก็จะจับต้นชนปลายไม่ถูก
อาจจะมีข้อสงสัยว่า แล้วเด็กจะไม่ยึดติดแบบอย่างที่ครูสาธิตหรือ ในอนาคตข้างหน้าเขาจะสร้างสรรค์ได้อย่างไร ก็ตอบได้ว่า เป็นกระบวนการเรียนการสอนขั้นต้น ที่ให้เด็กเขาได้ฝึกฝน “ทักษะ” จนเกิดความรู้ ความเข้าใจ และความชำนาญเท่านั้น
เมื่อได้ปฏิบัติงานไปอย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์ที่สั่งสมจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว จากการที่ได้เรียนร่วมกับครู เรียนร่วมกับเพื่อน เรียนร่วมกับสิ่งที่ตนเองได้สืบค้นจนเกิดประสบการณ์ตรง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้เขาค้นพบแนวทางการสร้างสรรค์ของตนเอง
ที่นี้ ก็มาว่ากันถึงเรื่องที่จะนำเสนอในครั้งนี้ครับ เมื่อได้ฝึกฝนการเขียน “ลายไทย” มาได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็มาต่อกันที่การเขียน “ภาพไทย” ตามจุดประสงค์ของหลักสูตรที่กำหนดไว้ โดยเราต้องทำความเข้าใจถึงหลักเกณฑ์การเขียนภาพไทย ที่ช่างไทยโบราณ ได้กระทำสืบต่อกันมาเสียก่อนครับ...
หลักเกณฑ์การเขียนภาพไทยในสมัยโบราณ มีหลักในการเขียนภาพให้เกิดมีชีวิตชีวา ดังเช่น “เขียนหงส์ให้ดูฟ้า เขียนม้าให้ดูดิน เขียนพระอินทร์ให้หน้าแหงน ๆ” คำกล่าวนี้หมายความว่า การกำหนดรูปร่างของภาพ คน สัตว์ ในแต่ละอย่างควรให้มีความรู้สีกมีชีวิตชีวา และต้องสมเหตุผล
ถ้าเขียนหงส์ก้มหน้า ก็จะไม่สมกับลักษณะหงส์ ส่วนม้านั้นต้องทำหน้างอ จึงจะสมเป็นม้าอาชาไนยที่เข้มแข็งทรงพลัง ภาพพระอินทร์ก็เช่นกัน ถ้าเขียนพระอินทร์ก้มหน้า ก็ขาดความมีสง่าราศี
ภาพไทย มีภาพหลัก ๆ ในการเขียนอยู่ ๔ อย่างคือ ภาพพระ นาง ยักษ์ และลิง สำหรับในครั้งนี้จะนำเสนอ “ภาพพระกับลิง” ก่อนครับ เป็นการทำทวนที่ได้ให้เด็กเขียนหน้าพระไปแล้วด้วย ส่วนหน้านางกับหน้ายักษ์นั้น เอาไว้คราวหน้า เพราะดูแล้วว่าจะเข้าคู่กันได้ดีครับ...อิ อิ
ลักษณะทั่วไปของหน้าภาพตัวพระ ที่เป็นเจ้านายชั้นสูงมักจะเขียนแบบเดียวกันหมด แต่เมื่อเขียนเจ้านายชั้นรองลงมาจนถึงพวกไพร่พล ก็ลดความสวยงามลงบ้าง ถ้าแสดงความรู้สึกโกรธ ดีใจและเศร้าโศก ก็มักจะแสดงด้วยท่าทางมากกว่าใบหน้า
ขั้นตอนการเขียนหน้าพระด้านข้าง

๑. ขึ้นโครงสร้างโดยรวมแบบเดียวกับที่เราเขียนภาพคนจริง โดยคำนึงถึงความถูกต้องตามหลักกายวิภาค แบ่งส่วนต่าง ๆ เพื่อวางตำแหน่งของคิ้ว ตา หู จมูก ปาก ออกเป็น ๓ ส่วนครึ่ง (ถ้าให้เต็มถึงผมด้านบนก็เป็น ๔ ส่วน ในส่วนครึ่งนั้นคือ ตีนผม)

๒. ร่างส่วนประกอบต่าง ๆ บนใบหน้า แต่เพียงเบา ๆ ให้พอเห็นเท่านั้น ตรวจสอบดูว่าตำแหน่งที่เราวางไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ แก้ไขทุก ๆ ส่วนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนที่จะดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป

๓. เก็บรายละเอียดแต่ละส่วน โดยเน้นเส้นคัดเส้นแร ตามแบบอย่างที่เราเขียนคนจริง เช่น คิ้ว เน้นความหนาที่ส่วนกลางคิ้ว เส้นขอบตาบนจะหนักว่าขอบตาล่าง เน้นน้ำหนักตรงปีกจมูกนิดหนึ่ง เน้นเส้นกลางปาก และน้ำหนักที่มุมปาก เป็นต้น
ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงเอกลักษณ์เฉพาะของงานไทยประเพณี ที่มีลักษณะทางอุดมคติ การใช้เส้นต้องอ่อนช้อยสวยงาม และพยายามเขียนให้ประณีตมากที่สุด
สำหรับหน้าพระด้านเฉียงหรือหน้าเพล่ และหน้าพระด้านตรงหรือหน้าอัด มีขั้นตอนวิธีการเขียน เช่นเดียวกันกับหน้าพระด้านข้างครับ...

หน้าพระด้านเฉียง หรือหน้าเพล่



หน้าพระด้านตรง หรือหน้าอัด


ภาพลิง ได้ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ แต่ได้ปรุงแต่งให้เกิดความสวยงาม ใบหน้าลิงมี ๒ ลักษณะ กล่าวคือ พวกอ้าปากและพวกหุบปาก ส่วนลักษณะลิงไพร่พล จะเขียนลักษณะของลิงจริง ๆ ตามธรรมชาติ

๑. เขียนวงกลม เพื่อกำหนดส่วนที่เป็นกระโหลกศีรษะ จากนั้นวางแนวเส้นขอบเขตของ คิ้ว จมูก ปาก ลงมาถึงคางแต่เพีียงคร่าว ๆ

๒. ร่างเส้นรอบนอกรูปใบหน้าลิง ตามตำแหน่งที่กำหนดโดยรวม

๓. เขียนรายละเอียดต่าง ๆ บนใบหน้าเพียงเบา ๆ ตรวจสอบดูว่าตำแหน่งถูกต้องหรือไม่

๔. เก็บรายละเอียดทุก ๆ ส่วนเป็นขั้นตอนสุดท้าย เช่นเดียวกับการเขียนหน้าพระ ภาพนี้ผมเขียนคัดลอกจากแบบลายรดน้ำครับ...

ลิงปากหุบ (องคต) ภาพนี้ ผมก็เขียนคัดลอกจากแบบลายรดน้ำเช่นกัน ส่วนวิธีการเขียนเหมือนกับลิงปากอ้าครับ


๒ ภาพด้านล่างนี้ ผมเขียนคัดลอกจากจิตรกรรมฝาผนังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ครับ...


ลิงปากอ้า

ลิงปากหุบ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น